My latest images for sale at Shutterstock:

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วัดพระเมรุราชิการาม วัดที่ใช้ทำสัญญาสงบศึกกับพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ( Wat Na Phra Mane )

Thai | English

          วันนี้ชวนทุกคนไปกราบพระที่วัดพระเมรุฯ จ.พระนครศรีอยุธยา ( ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานท์กวี คนดีศรีอยุธยา ) และตามรอยประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเขาบอกว่าวัดพระเมรุฯเป็นวัดที่พม่าไม่ได้เผาวัด จริงหรือไม่ไปดูกันครับ


 เกี่ยวกับวัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ)
       

         จากป้ายภายในวัดหน้าพระเมรุเขียนบอกกล่าวเล่าว่า "ตำนานกล่าวถึงวัดนี้ว่า พระองค์อินทร์ในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 รัชการที่ 10 แห่งกรุงศรีอยธยา ทรงสร้างเมื่อ จุลศักราช 864 (พ.ศ.2046) ประทานนามว่า “วัดพระเมรุราชิการาม” แต่ประชาชนส่วนมากนิยมเรียกว่า “วัดหน้าพระเมรุ” จึงเป็นนามของวัดที่ใช้กันจนทุกวันนี้ ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงเหตุการคราวทำสัญญาสงบศึกระว่างสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์กับพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง มีการปลุกพลับพลาเป็นที่ประทับซึ่งอยู่ด้านหน้าวัดพระเมรุกับวัดหัสดาวาส (ปัจจุบันวัดหัสดาวาสเหลือเพียงซากเจดีย์) อีกตอนหนึ่งเมื่อคราวสมเด็จพระเจ้าอะลองพญามาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อเดือน 6 ขึ้น 1 ค่ำ พ.ศ.2303 พม่าเอาปืนใหญ่มาตั้งที่วัดพระเมรุราชิการามกับวัดสหัสดาวาส พระเจ้าอะลองพญาทรงบัญชาการและทรงจุดปืนใหญ่เอง ปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่ในวัดพระเมรุราชิการามแตกต้องพระองค์บาดเจ็บสาหัส ประชวรหนักในวันนั้น พอรุ่งขึ้น 2 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ.2303 พม่าเลิกทัพกลับไปทางเหนือหวังออกทางด่านละเมาะ แต่ยังไม่พ้นแดนเมืองตาก พระเจ้าอะลองพญาก็สิ้นพระชนม์ระว่างทาง"
         วัดนี้ได้รับการบูรณะใหม่ในสมัยพระเจ้าบรมโกศและในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2378 และ พ.ศ. 2381 สิ่งที่เห็นอยู่ในปัจจุบันจึงปะปนกันทั้งที่มีอยู่ก่อนแล้วในสมัยอยุธยา สมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และในสมัยปัจจุบัน วัดนี้เป็นวัดที่มิได้ถูกทำลายไปเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 (ที่มา : สถาบันอยุธยาศึกษา)
         หากเราพิจารณาจากการเขียนบอกกล่าวจากป้ายภายในบริเวณวัดที่บอกกล่าวเล่าว่า "...พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง มีการปลุกพลับพลาเป็นที่ประทับซึ่งอยู่ด้านหน้าวัดพระเมรุกับวัดหัสดาวาส..." และ "...พม่าเอาปืนใหญ่มาตั้งที่วัดพระเมรุราชิการามกับวัดสหัสดาวาส พระเจ้าอะลองพญาทรงบัญชาการและทรงจุดปืนใหญ่เอง ปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่ในวัดพระเมรุราชิการามแตกต้องพระองค์บาดเจ็บสาหัส..." หากเราสำรวจตรวจสอบอิงตามแผนที่ในปัจจุบัน ผู้เขียนคาดว่าตำแหน่งในสมัยโบราณกาลที่กล่าวไว้คงเป็นตำแหน่งดังแผนที่ด้านล่าง


(แผนที่จาก : maps.google.com)

          จากรูปข้างบน ลูกศรคือทิศทางที่ปืนใหญ่หันกระบอกยิง ซึ่งปลายทางเป็นทิศของพระราชมณเฑียร พระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีสรรเพชญ์
          หากเทียบกับแผนที่ของสถาบันอยุธยาศึกษาจะได้ดังรูปด้านล่าง

(แผนที่จาก : www.ayutthayastudies.aru.ac.th )

การเดินทางไปวัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ)
         วัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ) ตั้งอยู่ ณ อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ( รายละเอียดการเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา )  เมื่อเดินทางมาถึงเขตเทศบาลพระนครศรีอยุธยา แล้วเดินทางไปวัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ) ได้ดังรูปด้านล่าง


แผนที่สำหรับเดินทางไปวัดพระเมรุราชิการาม

ถึงจุดหมาย : วัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ) 
            เมื่อเดินทางไปถึงวัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ) เราไปตามรอยประวัติศาสตร์และกราบพระกันเลยครับ (ภาพการเดินทางวันที่ 19 ต.ค.2557)
            ไปกราบพระประธานกันก่อนครับเพื่อเป็นศิริมงคล



          พระประธานในอุโบสถวัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ) เป็นพระพุทธรูปที่ถูกสร้างทรงเครื่องอย่างกษัตริย์หรือพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ซึ่งงดงามสมบูรณ์แบบอย่างยิ่งครับ พระประธานในอุโบสถวัดพระเมรุราชิการามมีพระนามว่า "พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ"

พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ พระประธานวัดพระเมรุราชิการาม
         โดยพระประธานเป็นที่งดงามที่สุด คือ พระพุทธรูปทรงเครื่ององค์ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่ง ประทับนั่งปางมารวิชัย หันพระพักตร์ไปทางทิศใต้ พระพักตร์ดูสง่า สงบนิ่งและน่าเกรงขาม พระพุทธรูปทรงเครื่องอาจหมายถึง พระศรีอาริยเมตไตรย ผู้ซึ่งจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ห้าที่จะได้เสด็จมาสั่งสอนและนำสังคมอันอุดมสมบูรณ์สงบสุขในอนาคต ปัจจุบันพระองค์ยังเป็นเทพบุตรอยู่ในสรวงสวรรค์จึงทรงเครื่องเช่นเทวดาทั้งหลาย หรืออาจอธิบายว่าเป็นเรื่องของพุทธประวัติ คือ ตอนที่พระพุทธเจ้าทรมานพญามารชมพูบดี ด้วยพญามารอวดตนมั่งคั่งร่ำรวย แต่งกายสวยงาม พระพุทธเจ้าจึงเนรมิตพระองค์ให้มีความงามกว่าพญามาร ดังนั้น พญามารจึงยอมรับพระพุทธเจ้า เป็นการปราบมารในรูปแบบหนึ่งนั่นเอง (ที่มา : สถาบันอยุธยาศึกษา )
          หลังจากกราบพระประธานภายในอุโบสถแล้ว ไปเดินชมความงดงามของวัดและบรรยากาศรอบๆวัดจุดอื่นๆ ต่อครับ




             สิ่งที่ต้องทำอีกสิ่งหรือห้ามพลาดเมื่อมาถึงวัดพระเมรุราชิการาม คือ กราบพระพุทธรูปศิลาเขียวหรือพระคันธารราฐประทับห้อยพระบาทสมัยทวาราวดี "ปางนั่งบัลลังก์" ซึ่งมีหนึ่งเดียวในประเทศไทย ประดิษฐานภายในพระวิหารน้อย


พระพุทธรูปศิลาเขียวหรือพระคันธารราฐประทับห้อยพระบาทสมัยทวาราวดี "ปางนั่งบัลลังก์" หนึ่งเดียวในประเทศไทย 

             เว็บไซต์สถาบันอยุธยาศึกษา เขียนเล่าว่า "ภายในพระวิหารน้อยมีพระพุทธรูปแบบทวารวดีหินสีเขียวดำขนาดใหญ่เต็มวิหาร ประทับนั่งวางพระบาทอยู่บนดอกบัวบาน กล่าวกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้ย้ายมาจากวัดหน้าพระเมรุ จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นสถานที่ที่พบพระพุทธรูปทวารวดีขนาดใหญ่หลายองค์ และได้ถูกเคลื่อนย้ายมาอยุธยาถึง 2 องค์ด้วยกัน (อีกองค์หนึ่งอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา) องค์พระพุทธรูปมีลักษณะที่น่าสังเกตหลายประการ คือ 
             1. พระรัศมีรอบพระเศียร ซึ่งมีเปลวฉายออกมาโดยรอบนั้น ชี้ให้เห็นอิทธิพลของจีน 
             2. ชายจีวรถูกถลกสูง เผยให้เห็นถึงพระชานุซ้ายของพระพุทธเจ้า ดูแปลกไปจากพระพุทธรูปที่พบทั่วไปในประเทศไทย เป็นเช่นเดียวกับที่นิยมทำพระศรีอาริยเมตไตรยในประเทศจีน สมัยราชวงศ์ถัง
             3. พระหัตถ์ทั้งคู่วางราบอยู่บนเข่าทั้งสอง ซึ่งแปลกไปจากปางต่าง ๆ ที่รู้จักกันในประเทศไทย"
          ผู้เขียนได้เดินทางไปทุกที่แล้วในที่พระพุทธรูปศิลาแบบนั่งห้อยพระบาทสมัยทวาราวดีประดิษฐาน ได้แก่
          หากนับจำนวนพระพุทธรูปศิลาสมัยทวาราวดีอิงตามคุณลักษณะของพระพุทธรูปศิลาสมัยทวาราวดีเพียงขนาดใหญ่และนั่งห้อยพระบาท ในประเทศไทยจะมีพระพุทธรูปศิลาสมัยทวาราวดีทั้งสิ้น 5 องค์ แต่หากแยกพระพุทธรูปศิลาสมัยทวาราวดีตามปาง จะแยกได้ดังนี้
  • พระพุทธรูปศิลาเขียว "ปางนั่งบัลลังก์" จำนวน  1 องค์
    • ประดิษฐาน ณ วัดพระเมรุราชิการาม
  • พระพุทธรูปศิลาขาว "ปางปฐมเทศนา" หรือหลวงพ่อประทานพร จำนวน  4 องค์
    • อุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ฯ 
    • ลานทักษิณชั้นลดด้านทิศใต้ขององค์พระปฐมเจดีย์ 
    • พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    • พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร
         ฉนั้นในประเทศไทยของเราจึงมี พระพุทธรูปศิลาเขียวหรือพระคันธารราฐประทับห้อยพระบาทสมัยทวาราวดี "ปางนั่งบัลลังก์" หนึ่งเดียวในไทยครับ

พระพุทธรูปศิลาขาว "ปางปฐมเทศนา" หรือหลวงพ่อประทานพร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา  หนึ่งในสี่องค์ในไทย
         ความงดงามทางโบราณศิลปะทั้งโบราณสถาน โบราณวัตถุบริเวณวัดพระเมรุราชิการาม มีให้ผู้ไปเยือนภายในบริเวณวัดในหลายๆ จุดครับ เดินชมความงดงามทางศิลปะของวัดและบรรยากาศรอบๆวัดให้เต็มอิ่มครับ







วิหารหลวงพ่อขาว วัดพระเมรุราชิการาม




            หากใครชอบการท่องเที่ยวแบบสบายๆ ขับรถกินลม ชมบรรยากาศ ไหว้พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ตามรอยประวัติศาสตร์   “วัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ) ” อีกหนึ่งสถานที่ในเมืองไทยที่เราไม่ควรพลาดไปเยือนครับ...สวัสดีครับ

วัดพุทไธศวรรย์ (Wat Phutthaisawan) วัดเก่าแก่ของกรุงศรีอยุธยา
วัดกุฎีดาว (Wat Khudeedao) วัดขนาดใหญ่สมัยอยุธยาที่มีสภาพที่ดีมากที่สุดแห่งหนึ่งที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน
วัดธรรมิกราช (Wat Thammikarat) วัดที่มีพระมหากษัตริย์จะทรงเสด็จมาฟังธรรมเป็นประจำในวันพระ อธิฐานนำน้ำพระพุทธมนต์ไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
วัดกษัตราธิราชวรวิหาร (Wat Kasatrathirat Worawihan) อารามหลวงที่งดงามด้วยงานศิลป์ชั้นสูง
วัดแม่นางปลื้ม (Wat Mae Nang Pleum) เปี่ยมด้วยตำนานและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา
พระมงคลบพิตร (Phra Mongkhon Bophit) พระพุทธรูปหล่อขนาดใหญ่องค์เดียวในประเทศไทย
วัดพระศรีสรรเพชญ์ จ.พระนครศรีอยุธยา วัดสำคัญที่สุดของราชสำนักอยุธยา
วัดไชยวัฒนาราม ( Wat Chaiwatthanaram )
วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร (Wat Niwet Thamprawat Ratworawihan) วัดไทยแห่งเดียวในประเทศไทยที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมยุโรป พระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรวิหาร วัดเก่าแก่สมัยรัชกาลที่ 5
วัดพนัญเชิง (Wat Phanan Choeng) เป็นวัดเก่าแก่ที่มีมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา
วัดมหาธาตุ พระอารามหลวงในสมัยอยุธยาที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (Wat Maha That)
วัดใหญ่ชัยมงคล (Wat Yai Chaimongkhon) อนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติและสัญลักษณ์แห่งการอภัยทานของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
วัดธรรมาราม (Wat Thammaram) สถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา สถานที่จำพรรษาของพระอุบาลีมหาเถระ
มหาสงกรานต์ มหามงคล ไปสรงน้ำพระงานหลวงปู่ทวด ประจำปี 2559
สรงน้ำหลวงปู่ทวดปี 2558
เที่ยวประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้ำที่ลาดชะโด หนึ่งปีมีครั้ง
ตลาดน้ำคลองสระบัว ( Ayutthaya Klong Sa Bua Floating Market & Water Theatre ) : กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงกิจการ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น