Thai | English
วันนี้ชวนทุกคนไปกราบพระที่วัดพระเมรุฯ จ.พระนครศรีอยุธยา ( ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานท์กวี คนดีศรีอยุธยา ) และตามรอยประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเขาบอกว่าวัดพระเมรุฯเป็นวัดที่พม่าไม่ได้เผาวัด จริงหรือไม่ไปดูกันครับ
จากป้ายภายในวัดหน้าพระเมรุเขียนบอกกล่าวเล่าว่า "ตำนานกล่าวถึงวัดนี้ว่า พระองค์อินทร์ในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 รัชการที่ 10 แห่งกรุงศรีอยธยา ทรงสร้างเมื่อ จุลศักราช 864 (พ.ศ.2046) ประทานนามว่า “วัดพระเมรุราชิการาม” แต่ประชาชนส่วนมากนิยมเรียกว่า “วัดหน้าพระเมรุ” จึงเป็นนามของวัดที่ใช้กันจนทุกวันนี้ ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงเหตุการคราวทำสัญญาสงบศึกระว่างสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์กับพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง มีการปลุกพลับพลาเป็นที่ประทับซึ่งอยู่ด้านหน้าวัดพระเมรุกับวัดหัสดาวาส (ปัจจุบันวัดหัสดาวาสเหลือเพียงซากเจดีย์) อีกตอนหนึ่งเมื่อคราวสมเด็จพระเจ้าอะลองพญามาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อเดือน 6 ขึ้น 1 ค่ำ พ.ศ.2303 พม่าเอาปืนใหญ่มาตั้งที่วัดพระเมรุราชิการามกับวัดสหัสดาวาส พระเจ้าอะลองพญาทรงบัญชาการและทรงจุดปืนใหญ่เอง ปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่ในวัดพระเมรุราชิการามแตกต้องพระองค์บาดเจ็บสาหัส ประชวรหนักในวันนั้น พอรุ่งขึ้น 2 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ.2303 พม่าเลิกทัพกลับไปทางเหนือหวังออกทางด่านละเมาะ แต่ยังไม่พ้นแดนเมืองตาก พระเจ้าอะลองพญาก็สิ้นพระชนม์ระว่างทาง"
วัดนี้ได้รับการบูรณะใหม่ในสมัยพระเจ้าบรมโกศและในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2378 และ พ.ศ. 2381 สิ่งที่เห็นอยู่ในปัจจุบันจึงปะปนกันทั้งที่มีอยู่ก่อนแล้วในสมัยอยุธยา สมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และในสมัยปัจจุบัน วัดนี้เป็นวัดที่มิได้ถูกทำลายไปเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 (ที่มา : สถาบันอยุธยาศึกษา)
หากเราพิจารณาจากการเขียนบอกกล่าวจากป้ายภายในบริเวณวัดที่บอกกล่าวเล่าว่า "...พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง มีการปลุกพลับพลาเป็นที่ประทับซึ่งอยู่ด้านหน้าวัดพระเมรุกับวัดหัสดาวาส..." และ "...พม่าเอาปืนใหญ่มาตั้งที่วัดพระเมรุราชิการามกับวัดสหัสดาวาส พระเจ้าอะลองพญาทรงบัญชาการและทรงจุดปืนใหญ่เอง ปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่ในวัดพระเมรุราชิการามแตกต้องพระองค์บาดเจ็บสาหัส..." หากเราสำรวจตรวจสอบอิงตามแผนที่ในปัจจุบัน ผู้เขียนคาดว่าตำแหน่งในสมัยโบราณกาลที่กล่าวไว้คงเป็นตำแหน่งดังแผนที่ด้านล่าง
(แผนที่จาก : maps.google.com)
จากรูปข้างบน ลูกศรคือทิศทางที่ปืนใหญ่หันกระบอกยิง ซึ่งปลายทางเป็นทิศของพระราชมณเฑียร พระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีสรรเพชญ์
หากเทียบกับแผนที่ของสถาบันอยุธยาศึกษาจะได้ดังรูปด้านล่าง
(แผนที่จาก : www.ayutthayastudies.aru.ac.th )
การเดินทางไปวัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ)
วัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ) ตั้งอยู่ ณ อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ( รายละเอียดการเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ) เมื่อเดินทางมาถึงเขตเทศบาลพระนครศรีอยุธยา แล้วเดินทางไปวัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ) ได้ดังรูปด้านล่าง
แผนที่สำหรับเดินทางไปวัดพระเมรุราชิการาม
เมื่อเดินทางไปถึงวัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ) เราไปตามรอยประวัติศาสตร์และกราบพระกันเลยครับ (ภาพการเดินทางวันที่ 19 ต.ค.2557)
ไปกราบพระประธานกันก่อนครับเพื่อเป็นศิริมงคล
พระประธานในอุโบสถวัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ) เป็นพระพุทธรูปที่ถูกสร้างทรงเครื่องอย่างกษัตริย์หรือพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ซึ่งงดงามสมบูรณ์แบบอย่างยิ่งครับ พระประธานในอุโบสถวัดพระเมรุราชิการามมีพระนามว่า "พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ"
พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ พระประธานวัดพระเมรุราชิการาม |
โดยพระประธานเป็นที่งดงามที่สุด คือ พระพุทธรูปทรงเครื่ององค์ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่ง ประทับนั่งปางมารวิชัย หันพระพักตร์ไปทางทิศใต้ พระพักตร์ดูสง่า สงบนิ่งและน่าเกรงขาม พระพุทธรูปทรงเครื่องอาจหมายถึง พระศรีอาริยเมตไตรย ผู้ซึ่งจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ห้าที่จะได้เสด็จมาสั่งสอนและนำสังคมอันอุดมสมบูรณ์สงบสุขในอนาคต ปัจจุบันพระองค์ยังเป็นเทพบุตรอยู่ในสรวงสวรรค์จึงทรงเครื่องเช่นเทวดาทั้งหลาย หรืออาจอธิบายว่าเป็นเรื่องของพุทธประวัติ คือ ตอนที่พระพุทธเจ้าทรมานพญามารชมพูบดี ด้วยพญามารอวดตนมั่งคั่งร่ำรวย แต่งกายสวยงาม พระพุทธเจ้าจึงเนรมิตพระองค์ให้มีความงามกว่าพญามาร ดังนั้น พญามารจึงยอมรับพระพุทธเจ้า เป็นการปราบมารในรูปแบบหนึ่งนั่นเอง (ที่มา : สถาบันอยุธยาศึกษา )
หลังจากกราบพระประธานภายในอุโบสถแล้ว ไปเดินชมความงดงามของวัดและบรรยากาศรอบๆวัดจุดอื่นๆ ต่อครับ
สิ่งที่ต้องทำอีกสิ่งหรือห้ามพลาดเมื่อมาถึงวัดพระเมรุราชิการาม คือ กราบพระพุทธรูปศิลาเขียวหรือพระคันธารราฐประทับห้อยพระบาทสมัยทวาราวดี "ปางนั่งบัลลังก์" ซึ่งมีหนึ่งเดียวในประเทศไทย ประดิษฐานภายในพระวิหารน้อย
พระพุทธรูปศิลาเขียวหรือพระคันธารราฐประทับห้อยพระบาทสมัยทวาราวดี "ปางนั่งบัลลังก์" หนึ่งเดียวในประเทศไทย |
เว็บไซต์สถาบันอยุธยาศึกษา เขียนเล่าว่า "ภายในพระวิหารน้อยมีพระพุทธรูปแบบทวารวดีหินสีเขียวดำขนาดใหญ่เต็มวิหาร ประทับนั่งวางพระบาทอยู่บนดอกบัวบาน กล่าวกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้ย้ายมาจากวัดหน้าพระเมรุ จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นสถานที่ที่พบพระพุทธรูปทวารวดีขนาดใหญ่หลายองค์ และได้ถูกเคลื่อนย้ายมาอยุธยาถึง 2 องค์ด้วยกัน (อีกองค์หนึ่งอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา)
องค์พระพุทธรูปมีลักษณะที่น่าสังเกตหลายประการ คือ
1. พระรัศมีรอบพระเศียร ซึ่งมีเปลวฉายออกมาโดยรอบนั้น ชี้ให้เห็นอิทธิพลของจีน
2. ชายจีวรถูกถลกสูง เผยให้เห็นถึงพระชานุซ้ายของพระพุทธเจ้า ดูแปลกไปจากพระพุทธรูปที่พบทั่วไปในประเทศไทย เป็นเช่นเดียวกับที่นิยมทำพระศรีอาริยเมตไตรยในประเทศจีน สมัยราชวงศ์ถัง
3. พระหัตถ์ทั้งคู่วางราบอยู่บนเข่าทั้งสอง ซึ่งแปลกไปจากปางต่าง ๆ ที่รู้จักกันในประเทศไทย"
ผู้เขียนได้เดินทางไปทุกที่แล้วในที่พระพุทธรูปศิลาแบบนั่งห้อยพระบาทสมัยทวาราวดีประดิษฐาน ได้แก่
- อุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ฯ
- ลานทักษิณชั้นลดด้านทิศใต้ขององค์พระปฐมเจดีย์
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร
- วัดพระเมรุราชิการาม
- พระพุทธรูปศิลาเขียว "ปางนั่งบัลลังก์" จำนวน 1 องค์
- ประดิษฐาน ณ วัดพระเมรุราชิการาม
- พระพุทธรูปศิลาขาว "ปางปฐมเทศนา" หรือหลวงพ่อประทานพร จำนวน 4 องค์
- อุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ฯ
- ลานทักษิณชั้นลดด้านทิศใต้ขององค์พระปฐมเจดีย์
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร
พระพุทธรูปศิลาขาว "ปางปฐมเทศนา" หรือหลวงพ่อประทานพร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา หนึ่งในสี่องค์ในไทย |
ความงดงามทางโบราณศิลปะทั้งโบราณสถาน โบราณวัตถุบริเวณวัดพระเมรุราชิการาม มีให้ผู้ไปเยือนภายในบริเวณวัดในหลายๆ จุดครับ เดินชมความงดงามทางศิลปะของวัดและบรรยากาศรอบๆวัดให้เต็มอิ่มครับ
วิหารหลวงพ่อขาว วัดพระเมรุราชิการาม |
วัดพุทไธศวรรย์ (Wat Phutthaisawan) วัดเก่าแก่ของกรุงศรีอยุธยา
วัดกุฎีดาว (Wat Khudeedao) วัดขนาดใหญ่สมัยอยุธยาที่มีสภาพที่ดีมากที่สุดแห่งหนึ่งที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน
วัดธรรมิกราช (Wat Thammikarat) วัดที่มีพระมหากษัตริย์จะทรงเสด็จมาฟังธรรมเป็นประจำในวันพระ อธิฐานนำน้ำพระพุทธมนต์ไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
วัดกษัตราธิราชวรวิหาร (Wat Kasatrathirat Worawihan) อารามหลวงที่งดงามด้วยงานศิลป์ชั้นสูง
วัดแม่นางปลื้ม (Wat Mae Nang Pleum) เปี่ยมด้วยตำนานและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา
พระมงคลบพิตร (Phra Mongkhon Bophit) พระพุทธรูปหล่อขนาดใหญ่องค์เดียวในประเทศไทย
วัดพระศรีสรรเพชญ์ จ.พระนครศรีอยุธยา วัดสำคัญที่สุดของราชสำนักอยุธยา
วัดไชยวัฒนาราม ( Wat Chaiwatthanaram )
วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร (Wat Niwet Thamprawat Ratworawihan) วัดไทยแห่งเดียวในประเทศไทยที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมยุโรป พระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรวิหาร วัดเก่าแก่สมัยรัชกาลที่ 5
วัดพนัญเชิง (Wat Phanan Choeng) เป็นวัดเก่าแก่ที่มีมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา
วัดมหาธาตุ พระอารามหลวงในสมัยอยุธยาที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (Wat Maha That)
วัดใหญ่ชัยมงคล (Wat Yai Chaimongkhon) อนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติและสัญลักษณ์แห่งการอภัยทานของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
วัดธรรมาราม (Wat Thammaram) สถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา สถานที่จำพรรษาของพระอุบาลีมหาเถระ
มหาสงกรานต์ มหามงคล ไปสรงน้ำพระงานหลวงปู่ทวด ประจำปี 2559
สรงน้ำหลวงปู่ทวดปี 2558
เที่ยวประเพณีแห่เทียนพรรษาทางน้ำที่ลาดชะโด หนึ่งปีมีครั้ง
ตลาดน้ำคลองสระบัว ( Ayutthaya Klong Sa Bua Floating Market & Water Theatre ) : กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงกิจการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น